เมืองไทยน่าเที่ยว

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557




 เมื่อหน้าหนาวมาเยือนกลุ่มชุมชนคนชอบเที่ยว ก็ได้เวลาตะลอนเที่ยวไปกางเต็นท์ เน้นทำอาหารกินกันเองอีกรอบแล้ว  หลังจากไปนอนดอยแม่ตะมาน เชียงใหม่ เป้าหมายต่อไปเลือกเดินทางย้อนกลับมาที จ.ตาก มุ่งสู่อุทยานแห่งชาติแม่เมย  ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของประเทศไทย  เพื่อพิสูจน์ความจริง

 






   อุทยานแห่งชาติแม่เมย อยู่ในเขตอำเภอท่าสองยาง มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนสหภาพพม่าโดยมีแม่น้ำเมย เป็น เส้นแบ่งเขตแดน อุทยานแห่งชาติแม่เมยขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามและอลังการของทะเลหมอก มาช้านาน ไม่ว่าจะเป็น ม่อนปุยหมอก ม่อนครูบาใส  ม่อนกระทิง ม่อนกิ่วลม และม่อนพูนสุดา ซึ่งแต่ละจุดเป็น จุดชมทิวทัศน์ ของขุนเขาและทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวและนักถ่ายภาพธรรมชาติ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีการจัดภูมิทัศน์ และตกแต่งพื้นที่ด้วยไม้ประดับดูสวยงาม บรรยากาศโดยรอบสงบร่มรื่นด้วยป่าเขา อัตราค่าเข้าอุทยานฯ ชาวไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท ชาวต่างประเทศ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท (ไม่รวมคนขับ)





  อุทยานแห่งชาติแม่เมย คือที่หมายถัดจากหน่วยจัดการต้นน้ำดอยแม่ตะมานที่เราพักแรมในคืนแรก ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-แม่สะเรียง) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สะเรียง-ฮอด)เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวบางช่วงเป็นทางลูกรัง สลับกับทางลาดยางเป็นระยะระ ใช้เวลากว่า 5ชั่วโมง ถึง อ.ท่าสองยาง แม่น้ำเมยกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า ด้านทิศตะวันตกเกือบ 50 กิโลเมตร จากทิศเหนือจรดทิศใต้ แต่จะไหลจากใต้ขึ้นเหนือ อันเป็นที่มาของชื่อ อุทยานแห่งชาติแม่เมย เดิมทีเดียวแถบนี้เคยรู้จักกันใน ชื่อ ม่อนกระทิง ซึงเป็นชื่อของรีสอร์ตในแถบดอยกระทิงของ เทือกเชาแม่ระเมิงอันสลับซับซ้อน  จนเมื่อปี พ.ศ. 2533 จึงเริ่มมีการสำรวจและจัดตั้ง โดยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 115,800 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ตำบลแม่ต้านและ ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าต้นน้ำ ทำให้มีน้ำตกขนาดเล็กที่สวยงาม เช่น น้ำตกแม่สลิดน้อย, น้ำตกแม่ระเมิง และ น้ำตกชาวดอย 




    กลุ่มของเราเดินทางมาถึงที่ อุทยานแห่งชาติแม่เมย ในตอนเย็นและตัดสินใจกลางเต็นท์ในบริเวณ อุทยานฯ โดยยึดเอาลานด้านหน้าเป็นที่กางเต็นท์ คนเยอะส่วนหนึ่งก็ขึ้นไปกางเต็นท์ที่ม่อนกิ่วลมกัน และ อีกอย่างที่นี่ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบาย ใช้เวลาไม่นานจัดการกับสัมภาระทั้งหมด พร้อมกับการเตรียมอาหารเย็น นับว่าโชคดีที่ทางอุทยานฯ มีการถ่ายทอดฟุตบอล AFF SUZUKI CUP นัดแรก ระหว่างทีมชาติไทย กับ ทีมชาติฟิลิปปินส์ ผ่านจอขาดใหญ่ให้ได้ชมด้วย ซึ่งผมถือว่าในช่วงเทศกาลวันพ่ออย่างนี้ แล้วยังได้บรรยากาศแบบนี้ นับว่าเป็นวันดี กับสถานที่ดี จริงๆ 



  หลังอาหารเย็นเราใช้เวลาว่างในช่วงนี้เดินสำรวจไปรอบๆ ทำให้รู้ว่าร้านค้าสวัสดิการฯที่นี่ไม่ธรรมดาครับ...มีเสื้อผ้าแนวทหารขายในราคาไม่แพงนัก ทำให้ดูแปลกกว่าอุทยานอื่นๆ ที่ไปพักมา หลังจากอาบน้ำทำภารกิจส่วนตัวเสร็จก็นั่งคุยกันก่อนที่นอนพักผ่อน 



     ตี 5 เช้าตรู่วันต่อมา...เสียงผู้คนตามเต็นท์ต่างๆ พูดคุยกันจอแจพร้อมเสียงเครื่องยนต์ปลุกเราให้ตื่น จากเต็นท์รีบล้างหน้าล้างตา ที่หมายเดียวกันในยามนี้ คือ ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกที่ ม่อนกิ่วลม แต่เราไม่แน่ใจในทะเลหมอกเพราะ เมื่อคืนอากาศไม่น่าจะเย็นพอที่จะทำให้หมอกหนาได้ และแล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เป็นจริง...ทะเลหมอกที่เราคาดหวังไว้ไม่มากมายแต่ก็มี ให้ได้ชื่นชมกันพอสมควร



    ม่อนกิ่วลม ตั้งอยู่บนระดับความสูง 940 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 14 กม. ซึ่งผมกับคณะเดินทางออกจากที่พักบริเวณที่ทำการประมาณตีห้าครึ่งเพื่อไปเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนแห่งนี้ท่ามกลางอากาศยามเช้ามืดที่เย็นสบาย แต่ก็เป็นการเฝ้ารอที่ไม่คุ้ม เพราะมีเมฆมากอากาศไม่ค่อยเย็นเลยไม่เห็นทะเลหมอก เห็นแสงพระอาทิตย์แค่เลือนราง นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นมาต่างผิดหวังไปตามๆกัน จินตนาการเอาไว้ก่อนมาว่าจะเห็นทะเลหมอก ในร่องหลืบรอยต่อของแนวเขาแต่ละลูกสีขาวนวลๆค่อยลอยอ้อยอิ่ง เข้ามาปกคลุม แต่ก็ผิดหวัง อยู่ได้แค่ครู่เดียว เราก็ย้อนกลับลงมาที่น้ำตกแม่ระเมิง ซึ่งอยู่ข้างทาง 
 


 จุดชมวิวช่วงระหว่างม่อนกิ่วลมกับน้ำตกแม่ระเมิง







 ม่อนพูนสุดา ที่ม่อนแห่งนี้เป็นเนินต้องเดินต่อไปยังจุดชมวิวอีก 100 เมตร ซึ่งช่วงที่ไปจอดแวะชมทะเลหมอกที่นี่ ดูเหมือนว่าสายหมอกจะพร้อมลอยไหลมารวมตัวกันเกิดเป็นทะเลหมอกสีขาวโพลนอันสวยงาม ลอยแน่นหนาอยู่ทามกลางร่องหลืบของหุบเขา โดยมียอดสูงโผล่แพลมขึ้นมาขับเน้นให้ทะเลหมอกแห่งนี้ดูมีมิติมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เบื้องหน้าก็แนวทิวไม้ทอดตัวเป็นสีเขียวขจีขึ้นตัดกับสีขาวนวลของทะเลหมอก









ต่อด้วย ม่อนครูบาใส ซึ่งอยู่ห่างลงมาอีก 500 เมตร ที่นี่มีลานกว้างไว้สำหรับเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก 






 เรากลับมาที่เต็นท์ตอนสายๆ เริ่มหิวกันแล้ว เลยจัดการหาอาหารเช้าแบบทุบหม้อกันเลย เพราะที่ต่อไปคือการเดินทางกลับบ้านคงจะแวะหาอาหารทานกันระหว่างทาง ทานอาหารเสร็จแล้วเก็บของ กว่าจะเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง ความสุขที่ได้จากทริปนี้ก็ต้องขอยกความดีให้กับทุกอย่างที่มีส่วนทำให้เกิดขึ้น โบกมือลาขุนเขา มวลหมู่แมกไม้ สายลม สายหมอก ขอบคุณที่มอบสิ่งดีๆให้ บายๆๆๆๆ